News

5 เทรนด์การออกแบบออฟฟิศปี 2025 ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่

ออกแบบภายในออฟฟิศ

ด้วยวิถีการทำงานที่เปลี่ยนไป ทำให้การตกแต่งภายในออฟฟิศในปี 2025 ต้องมีสภาพแวดล้อมที่ทั้งเอื้อต่อการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ด้านสถาปนิกจึงต้องคำนึงถึงปัจจัยใหม่ๆ เช่น ความยืดหยุ่นของ Hybrid Work การผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ และแนวคิดความยั่งยืนที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การออกแบบออฟฟิศตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ และบทความนี้เราจะพาไปดู 5 เทรนด์การออกแบบออฟฟิศที่กำลังมาแรงในปี 2025 นี้

5 เทรนด์การออกแบบออฟฟิศปี 2025

การตกแต่งภายในออฟฟิศในปี 2025 ต้องตอบโจทย์พฤติกรรมการทำงานที่เปลี่ยนไปให้ได้มากที่สุด การออกแบบออฟฟิศในปี 2025 จึงต้องผสมผสานฟังก์ชันล้ำสมัยเข้ากับแนวคิดเพื่อความยั่งยืนและสุขภาวะของผู้ใช้งาน มาดูกันว่าเทรนด์ไหนกำลังมาแรงและจะเปลี่ยนออฟฟิศให้น่าอยู่ขึ้นได้อย่างไร

1. Smart Office & AI Integration

ปรับโฉมการตกแต่งภายในออฟฟิศธรรมดาให้กลายเป็น Smart Office ด้วยการนำ AI และ IoT (Internet of Things) มาใช้ จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ระบบควบคุมอัตโนมัติไปจนถึงการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

  • ควบคุมออฟฟิศด้วย AI & IoT

ระบบอัจฉริยะสามารถตรวจจับการใช้งานพื้นที่และปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่เพียงช่วยประหยัดพลังงานเท่านั้น แต่ยังทำให้พนักงานรู้สึกสบายตัวขึ้น นอกจากนี้ การใช้เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ที่ไม่มีคนใช้งานได้อีกด้วย

  • Smart Desk & ห้องประชุมอัจฉริยะ

การตกแต่งภายในออฟฟิศยุคใหม่ต้องรองรับการทำงานแบบ Hot Desking หรือการไม่มีโต๊ะประจำ โดยการใช้ระบบ Smart Desk ช่วยให้พนักงานจองโต๊ะทำงานผ่านแอปฯ พร้อมปรับความสูงของโต๊ะ แสงไฟ หรืออุณหภูมิให้เหมาะกับแต่ละคนได้ทันที ห้องประชุมก็ฉลาดขึ้น ด้วยระบบจองห้องประชุมแบบอัตโนมัติ ที่สามารถปรับอุณหภูมิ เชื่อมต่ออุปกรณ์ และจัดแสงตามลักษณะการใช้งาน

  • ออกแบบให้พร้อมสำหรับ AR/VR

การออกแบบออฟฟิศในปี 2025 ต้องรองรับการใช้ AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) เพื่อให้การประชุมทางไกลเป็นมากกว่าการวิดีโอคอล ให้พนักงานสามารถโต้ตอบและแชร์ข้อมูลกันในรูปแบบ 3D ได้ราวกับอยู่ในที่เดียวกัน 

ออกแบบตกแต่งออฟฟิศ

2. Biophilic Design นำธรรมชาติเข้าสู่ออฟฟิศ

เปลี่ยนการตกแต่งภายในออฟฟิศกลายเป็นป่ากลางเมืองด้วย Biophilic Design แนวคิดการออกแบบที่เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ผ่านการใช้พืชพรรณ แสงธรรมชาติ และวัสดุจากธรรมชาติ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยลดความเครียด กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

  • พื้นที่สีเขียว ช่วยให้สมองสดชื่น

ตกแต่งภายในด้วยการแทรกพื้นที่สีเขียวลงไปให้กลมกลืนภายในอาคารมากที่สุด เช่น Vertical Garden หรือสวนแนวตั้งตามบริเวณที่เป็นผนัง หรือ Indoor Park ในมุมพักเบรกที่มีต้นไม้จริง น้ำพุเล็กๆ และที่นั่งใต้ร่มไม้ แค่เห็นสีเขียวของธรรมชาติก็ช่วยลดความเครียด และทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นแบบไม่รู้ตัว

  • ดึงแสงธรรมชาติเข้ามาให้มากที่สุด

การออกแบบภายในออฟฟิศสมัยใหม่จะเน้นกระจกบานใหญ่ ช่องรับแสง และ Skylight เพื่อนำแสงธรรมชาติเข้ามาช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของสายตาแทนที่จะพึ่งไฟนีออนทั้งวัน แถมยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้าไปในตัว นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า พนักงานที่ทำงานในพื้นที่ที่มีแสงธรรมชาติจะมีพลังงานและสมาธิดีกว่าคนที่ทำงานในห้องปิดอีกด้วย

  • วัสดุธรรมชาติ สร้างบรรยากาศอบอุ่น

การออกแบบตกแต่งออฟฟิศตามแนวคิด Biophilic จะเลือกใช้ไม้ หิน และวัสดุจากธรรมชาติแทนที่จะใช้พื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นโลหะและพลาสติกล้วนๆ เพื่อลดความแข็งกระด้าง ทำให้บรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองมากขึ้น

  • ออฟฟิศที่ใกล้ชิดธรรมชาติ = คนทำงานมีความสุขขึ้น

งานวิจัยระบุว่า การมีต้นไม้และองค์ประกอบจากธรรมชาติในออฟฟิศช่วยลดความเครียดมากถึง 37% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสูงถึง 15% เพราะมนุษย์มีสัญชาตญาณดั้งเดิมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายและสบายตา แถมสมองก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้นด้วย  

3. Flexible & Hybrid Workspace

การทำงานแบบ Hybrid Work ที่ให้พนักงานสลับมาทำงานที่ออฟฟิศบางวันและทำงานจากที่บ้านบางวัน ทำให้การออกแบบออฟฟิศต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อรองรับการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

  • Hot Desk & Co-Working Space

Hot Desking หรือการเลือกโต๊ะนั่งตามความสะดวกกำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตกแต่งภายในของออฟฟิศ พนักงานสามารถเข้ามาจองโต๊ะผ่านแอปฯ และเลือกนั่งในพื้นที่ที่เหมาะกับสไตล์การทำงานของตัวเอง บางวันอาจต้องการมุมเงียบๆ สำหรับโฟกัสงาน หรือบางวันอาจอยากทำงานใน Co-Working Space ที่สามารถพูดคุยและแชร์ไอเดียกับเพื่อนร่วมงานได้ ก็สามารถเลือกได้ตามความต้องการ

  • ห้องประชุม Modular ปรับเปลี่ยนได้ตามใจ

การตกแต่งภายในห้องประชุมแบบ Modular คือการใช้ผนังพับหรือพาร์ติชันที่สามารถขยับและปรับขนาดห้องให้เหมาะกับจำนวนคนได้ เช่น ถ้ามีแค่ 3-4 คน ก็ใช้ห้องขนาดเดิมได้ แต่ถ้าต้องประชุมทีมใหญ่ สามารถเลื่อนผนังเพื่อรวมเป็นห้องขนาดใหญ่ขึ้นได้ทันที ฟังก์ชันแบบนี้ช่วยให้พื้นที่ในออฟฟิศถูกใช้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

  • รองรับ Hybrid Work

ทุกวันนี้การทำงานแบบ Work from home ได้รับความนิยมมากขึ้น พนักงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันอีกต่อไป การออกแบบออฟฟิศจึงต้องรองรับคนที่เข้ามาทำงานเฉพาะบางวัน เช่น การเพิ่มจุดเชื่อมต่ออุปกรณ์ (Plug & Play Stations) พื้นที่สำหรับ Virtual Meetings หรือ Booth เก็บเสียงสำหรับวิดีโอคอล เพื่อให้คนที่ทำงานแบบ Work from home สามารถสื่อสารกับทีมที่อยู่ในออฟฟิศได้ราบรื่น

4. Wellness & Ergonomic Design 

การออกแบบออฟฟิศยุคใหม่ควรใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานให้มากขึ้น โดยคำนึงถึงการออกแบบภายใต้แนวคิด Wellness & Ergonomic Design ที่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างสบาย มีพลัง และลดปัญหาสุขภาพได้ในระยะยาว

  • เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยลดอาการปวดหลัง

การนั่งทำงานหลายชั่วโมงต่อวันส่งผลให้อาการปวดหลังตามมาได้ง่ายๆ ดังนั้น ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยลดอาการปวดหลัง เช่น โต๊ะปรับระดับ หรือเก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ให้พนักงานสลับระหว่างการนั่งและยืนทำงานได้ เก้าอี้รองรับแผ่นหลังและท่านั่งอย่างเหมาะสม ช่วยให้พนักงานนั่งทำงานได้นานขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องออฟฟิศซินโดรม

  • Wellness Room พื้นที่พักใจและกาย

ทำงานหนักก็ต้องมีที่ให้พัก หลายออฟฟิศเริ่มออกแบบภายในออฟฟิศให้มี Wellness Room หรือห้องพักผ่อน เช่น ห้องนั่งสมาธิ ห้องออกกำลังกาย หรือ Nap Room เป็นห้องพักงีบ พักสายตาประมาณ 15-20 นาทีก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างมหาศาล

  • Work-Life Balance Zone

การออกแบบออฟฟิศให้มีพื้นที่สำหรับ Work-Life Balance ช่วยให้พนักงานได้ผ่อนคลายและแฮปปี้กับการทำงานมากขึ้น เช่น โซนเกม มุมกาแฟสุดชิล หรือแม้แต่พื้นที่นั่งเล่นแบบเลานจ์ ที่พนักงานสามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากการทำงานที่โต๊ะมานั่งทำงานแบบสบายๆ ได้ การออกแบบที่ดีต้องคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศที่ลดความตึงเครียดและทำให้พนักงานอยากมาทำงานมากขึ้น 

5. Sustainable & Eco-Friendly Office 

การออกแบบออฟฟิศที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ได้ช่วยแค่ลดผลกระทบต่อธรรมชาติ แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรอีกด้วย

วัสดุที่ใช้ = ลดขยะ ลดมลพิษ

ออฟฟิศที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมจะเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลตกแต่งภายใน เช่น โต๊ะทำงานจากไม้รีไซเคิล ผนังจากวัสดุ Upcycling หรือแม้แต่พรมที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล นอกจากนี้ วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ คอนกรีตดิบ หรือสีที่ไม่มีสาร VOCs (สารระเหยที่เป็นอันตราย) ก็ช่วยให้พื้นที่ทำงานปลอดภัยต่อสุขภาพพนักงานมากขึ้น

ลดการใช้พลังงานด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาด

  • กระจกกันความร้อน (Low-E Glass) ช่วยลดความร้อนจากภายนอก ทำให้ออฟฟิศเย็นขึ้น
  • ระบบไฟอัจฉริยะ (Smart Lighting) ปรับความสว่างอัตโนมัติตามปริมาณแสงธรรมชาติ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 
  • ฉนวนกันความร้อน และหลังคาสีขาว (Cool Roof) ช่วยสะท้อนความร้อน ทำให้อาคารประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

พลังงานสะอาด & ระบบจัดการขยะ

การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาอาคาร ช่วยลดค่าไฟฟ้าและลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือเลือกใช้ระบบเก็บน้ำฝน นำกลับมาใช้ในห้องน้ำหรือรดน้ำต้นไม้ เพื่อลดการใช้น้ำประปา นอกจากนี้ การออกแบบถังขยะให้แยกประเภท และการนำขยะกลับไปใช้ใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทำให้ออฟฟิศเป็น Zero-Waste มากขึ้น  

ออกแบบภายในออฟฟิศ

สรุป 

การออกแบบออฟฟิศในปี 2025 นอกจากเรื่องของฟังก์ชันแล้ว ยังต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ตอบโจทย์วิถีการทำงานที่เปลี่ยนไป ทั้งความยืดหยุ่น พื้นที่ที่คำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงาน รวมถึงการออกแบบให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหน้าที่ของสถาปนิกและนักออกแบบ ที่ต้องผสานความคิดสร้างสรรค์กับนวัตกรรม เพื่อนำเสนอพื้นที่ทำงานที่ไม่ใช่แค่สวยงาม แต่ยังช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ สนุก และเติมเต็มคุณค่าของการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน

FAQ

เทรนด์การออกแบบออฟฟิศปี 2025 แตกต่างจากปีก่อนๆ อย่างไร?

  • เทรนด์ปี 2025 เน้นไปที่ความยืดหยุ่นและ Hybrid Working มากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับ Well-being และ Sustainability มากขึ้น

Hybrid Workspace ต่างจาก Co-Working Space อย่างไร?

  • Hybrid Workspace คือการออกแบบออฟฟิศให้รองรับการทำงานทั้งในและนอกออฟฟิศ ขณะที่ Co-Working Space คือพื้นที่ทำงานที่หลายบริษัทหรือฟรีแลนซ์ใช้ร่วมกัน

บริษัทขนาดเล็กควรปรับตัวอย่างไรกับการออกแบบออฟฟิศในปี 2025?

  • บริษัทขนาดเล็กสามารถเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่บางส่วน เช่น พื้นที่พักผ่อน หรือพื้นที่สำหรับทำงานร่วมกัน

การนำเทคโนโลยีมาใช้ในออฟฟิศมีข้อดีอย่างไร?

  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดค่าใช้จ่าย และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีขึ้น